โลธาร์ มัทเธอุส ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1961 เป็นเยอรมันฟุตบอล มัทเธอุส เกิดฝั่งตะวันตก และนั่นทำให้เขาได้เจอกับเส้นทางในอาชีพนักฟุตบอลที่สดใส และง่ายกว่าชีวิตของอีกฝั่งกำแพง
เมื่อปี 1945 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง อันนำมาซึ่งการแยกเยอรมันเป็น 2 ประเทศ รัฐบาลเยอรมันตะวันตก เริ่มทำการบูรณะประเทศขึ้นมาใหม่ ฟื้นฟูวิทยาการและศาสตร์แขนงต่าง ๆ อย่างจริงจัง รวมถึงฟุตบอลด้วย …
ฟุตบอลของเยอรมันตะวันตกกลายเป็นมหาอำนาจที่ทั่วโลกต้องหวั่นเกรงเมื่อเผชิญหน้า พวกเขามีรูปแบบการเล่นเฉพาะตัว มีระเบียบวินัยสุดขีด และมีความสมดุลทั้งในด้านความเข้าใจและสภาพร่างกายที่ตอบโจทย์กับสไตล์การเล่นของตัวเอง และทุกอย่างก็เริ่มผลิบานตั้งแต่เยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1954 เป็นต้นมา
ฟุตบอลเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์จากแนวคิดของประชาชนในประเทศ ที่ต้องการถีบตัวเอง ยกระดับ และกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ให้ได้ แม้ว่าจะโดนกดแค่ไหนก็ห้ามยอมแพ้ ซึ่งเรื่องนี้ โลธาร์ มัทเธอุส ที่เกิดมาในยุคหลังแพ้สงครามก็ยอมรับว่ามันมีผลกับเขามากจริง ๆ
มัทเธอุส เล่าถึงฟุตบอลในยุคเยอรมันตะวันตกว่า สำหรับผมแล้ว เราใช้ชีวิตอยู่กับความกระหายตลอดเวลา ความหมายของชีวิตไม่ได้หมายถึงการแค่มีลมหายใจ แต่มันคือการดิ้นสู้ เอาตัวรอด และก้าวไปข้างหน้า และพิชิตความสำเร็จให้ได้
มัทเธอุส เป็นคนที่ไม่เคยลดละความพยายาม และหิวกระหาย ทำให้ เขาก้าวหน้าในด้านฟุตบอลอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเขาเป็นคนแคว้นบาวาเรีย ที่มีความหยิ่งยะโส และจองหองในศักดิ์ศรี ยิ่งทำให้เรื่องราว มัทเธอุส ในวัยเด็ก ทุกอย่างที่หลอมให้เขากลายเป็นนักเตะที่ถูกเรียกว่า สมบูรณ์แบบที่สุด ได้เป็นอย่างดี
ตอนเด็ก ๆ นั้น เด็กทุกคนย่อมจินตนาการเกี่ยวกับการได้ของเล่นชิ้นใหม่เหมือนกันหมด แต่พ่อกับแม่ของผมค่อนข้างยากจน ท่านไม่มีกำลังซื้อของอะไรให้ผมมากนัก ดังนั้นวันต่อวันของผมจึงผ่านไปกับการเตะฟุตบอล
มัทเธอุส เล่าเรื่องฝีเท้าของตัวเองในครั้งอดีตว่า ผมเล่นให้กับนักเตะรุ่นอายุ 14 ปีตั้งแต่ที่ตัวเองอายุ 10 ขวบ ผมเป็นกองหน้ามาตลอด ผมยิงกระจายเลย ทุกคนเลยผลักดันผมในตำแหน่งนี้ไปจนถึงถึงอายุ 17 ปี ซึ่งในวันแรกที่ผมไปลงเล่นกับทีมชุดนั้นแค่ช่วงเช้า พอตกช่วงบ่ายโค้ชก็เรียกผมขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ทันที
ความฝันของคนเราเปลี่ยนผันได้ตามกาลเวลา ตอนเด็ก ๆ ผมอยากจะเตะฟุตบอลอาชีพ ตอนวัยรุ่น ผมอยากติดทีมชาติเยอรมัน และตอนที่ผมอายุ 18 ปี ผมฝันถึงการเป็นนักเตะระดับโลก แล้วผมก็ทำมัน มัทเธอุส กล่าว
ตำแหน่ง ลิเบโร คือตำแหน่งที่ทุกวันนี้แทบไม่มีให้เห็นแล้ว หากจะอธิบายให้เห็นภาพคือ ตัวรับอิสระ หรือตำแหน่ง สวีปเปอร์ คงจะไม่ผิดนัก เขาจะยืนอยู่หลังกองหลังตัวสุดท้าย และภารกิจของ ลิเบโร คือการเป็นหัวใจของแผงเกมรับในยามที่ทีมไม่มีบอล และหลังจากที่ได้กลับมาครอบครองบอลแล้ว ลิเบโร ก็จะมีหน้าที่สร้างสรรค์เกมรุกด้วยตัวเองด้วย
ความสมบูรณ์แบบเกินไปของมัทเธอุส ทำให้ต้องเข้ามารับหน้าที่ ลิเบโร ไปโดยปริยาย … ผลงานของ มัทเธอุส ชัดเจนมากในแง่ของการเป็นผู้นำในเกมรับ และเป็นคนที่จบสกอร์ได้ดี 51 ประตูจาก 200 นัด มันชัดเจนว่าสถิตินี้ไม่น่าใช่สถิติของกองหลังอย่างแน่นอน
หลังผ่านไป 5 ปี มัทเธอุส ต้องการไปอยู่กับทีมที่ใหญ่ขึ้น เก่งกว่า และทะเยอทะยานกว่า ที่สำคัญคือเหมาะกับตัวเขามากกว่า นั่นคือ เสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค ที่กำลังสร้างยุคสมัยใหม่
มัทเธอุส ย้ายไปเสือใต้ บาเยิร์น เพราะอยากได้แชมป์ หลังย้ายไป เขาทำทุกอย่างตามที่คิดไว้ คือการคว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน (ปี 1985-1987)
ความสุดยอดของ มัทเธอุส เป็นไปจริงตามที่เขาว่า เขายิงประตูกระจายไม่ว่าจะกับสโมสรไหน หลังคว้าแชมป์กับ เสือใต้ บาเยิร์น เขาย้ายไป อินเตอร์ ในปี 1988 และหลังจากนั้นอีก 2 ปี เขากลายเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก ที่การันตีด้วยรางวัล บัลลงดอร์ ปี 1990
มัทเธอุส คือผู้สร้างคำว่า ความสมบูรณ์แบบ ในยุคนั้น เขาประสบความสำเร็จทุกที่ที่ไป คว้าแชมป์ลีกกับ เสือใต้, ปีศาจแดงดำ รวมถึงคว้าแชมป์โลกและแชมป์ยุโรปกับเยอรมันตะวันตก
หากจะมองหาความสมบูรณ์แบบในชีวิตนักเตะคนหนึ่ง เส้นทางของ มัทเธอุส ก็พอจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว